พุทธธรรมในปรัชญากฎหมายไทยสมัยอยุธยา : คุณค่าและบทบาทของพระธรรมศาสตร์
หลักฐานศึกษาสำคัญต่อลักษณะพุทธธรรมในปรัชญากฎหมายไทยคงพิจารณาได้เด่นชัดที่สุดในตัวบทกฎหมายไทยในสมัยอยุธยา ซึ่งมีพระราชกำหนดพระไอยการหลาย ๆ เรื่องที่สะท้อนอิทธิพลแห่งพุทธรรมและที่สำคัญอย่างยิ่งคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เป็นหลักฐานที่สำคัญน่าศึกษา แม้ในปัจจุบันเราจะไม่มีพระธรรมศาสตร์ฉบับสมัยอยุธยาโดยตรง แต่สามารถศึกษาผ่านพระธรรมศาสตร์ในกฎหมายตราสามดวง
คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ ถือว่า เป็นกุญแจสำคัญในการวิเคราะห์หรือตีความหมายในลักษณะปรัชญากฎหมายแบบธรรมนิยม ดังนั้นการศึกษาเนื้อหาของพระธรรมศาสตร์ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเข้าใจปรัชญากฎหมายไทย เนื้อหาของพระธรรมศาสตร์ เริ่มต้นจะกล่าวถึงการกำเนิดโลก กำเนิดจักรวาล เหมือนกับอัคคัญสูตร แต่ในอัคคัญสูตรได้พูดถึงการเลือกผู้เหมาะสมขึ้นเป็นผู้นำแต่ในพระธรรมศาสตร์กล่าวว่าคนที่เป็นผู้ปกครองมาจากพระโพธิสัตว์ ฝูงชนจะอัญเชิญพระโพธิสัตว์ขึ้นเป็นผู้ปกครอง
เรื่องราวเกี่ยวกับที่มาของคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ในพระธรรมศาสตร์ โดยสาระสำคัญคงมุ่งชี้ถึงหัวใจ เรื่องความยุติธรรมในการตัดสินคดีเน้นคุณค่าความสำคัญของหลักทศพิศราชธรรมในพุทธสาสนา ซึ่งเราสามารถแบ่งเนื้อหาของพระธรรมศาสตร์ ออกได้เป็น 4 ส่วน กล่าวคือ
ส่วนที่ 1 ว่าด้วยเรื่องการสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ประวัติที่มาของพระธรรมศาสตร์ในเชิงตำนานชาดกของพุทธศาสนาและพระราชจริยวัตรของพรถะเจ้ามหาสมมุติราช ในการยึดมั่นปฏิบัติตามคัมภีร์พระธรรมศาสตร์
ส่วนที่ 2 ว่าด้วยลักษณะของผู้ที่เป็นตุลาการ (กระลาการ)
ส่วนที่ 3 ว่าด้วย “ เหตุแห่งตุลาการ 24 ประการ “
ส่วนที่ 4 ว่าด้วยแบ่งอรรกคดี (อรรฐคดี) ออกเป็น 2 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 ของพระธรรมศาสตร์ หากวิเคราะห์ในแง่มุมของนิติปรัชญาคงต้องถือเป็นส่วนสำคัญมากที่สุดในการเผยความคิดทางปรัชญากฎหมายไทย อาทิเช่น
1. การเน้นเป้าหมายเรื่องความยุติธรรมในการตัดสินคดี
2. กฎหมายแม่บทเชิงอุดมคติ กล่าวคือ คัมภีร์พระธรรมศาสตร์เป็นกฎหมายที่สถิตย์อยู่เองโดยธรรมชาติ (ปรากฏอยู่ในกำแพงจักรวาล) มิได้เกิดจากการคิดบัญญัติของมนุษย์หรืออยู่นอกเหนือเจตนาของมนุษย์ใด ๆ หากมนุษย์ (มโนสารฤาษีหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ามโนสาจารย์) เป็นเพียง “ค้นพบ” กฎหมายดังกล่าว แล้วจึงนำมาจดจำนำมาเขียนทำนองคัดลอกทีหนึ่ง
ข้อสังเกต กฎหมายแม่บทเชิงอุดมคติในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์นี้ใกล้เคียงกับแนวคิดปรัชญากฎหมายธรรมชาติของตะวันตกในแง่ที่กฎหมายนั้นมิได้เกิดจากจากมนุษย์ที่เกิดขึ้นเองจากธรรมชาติแล้วมนุษย์ค้นพบด้วยเหตุผลและสติปัญญา
2. คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ถือเป็นแม่บทแห่งกฎหมายอันจัดได้เป็นบรรทัดฐานขั้น
มูลฐาน (Grundnorm) แห่งกฎหมายทั่วไปพร้อม ๆ กับเป็นตำราปรัชญาทางการเมืองการปกครองของพระมหากษัตริย์หรือชนชั้นปกครองในความหมายทั่วไป โดยเป็นกฎเกณฑ์หรือบรรทัดฐานทางธรรมชาติในการใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์ คือ ทศพิศราชธรรมหรือราชธรรม 10 ประการ
4. การยึดมั่นในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ยังเป็นไปโดยกอปรด้วยการประพฤติธรรม
4 ประการ คือ
1) พิจารณาซึ่งความชอบความผิดแห่งผู้กระทำให้เป็นประโยชน์และมิได้เป็นประโยชน์แก่พระองค์
2)ทำนุบำรุงซึ่งบุคคลผู้มีศีลสัจ
3)ได้มาซึ่งพระราชทรัพย์โดยยุติธรรม
4)รักษาบ้านเมืองให้มีความสุขโดยยุติธรรม
5.ความยุติธรรมในการตัดสินคดีจะเกิดขึ้นได้ก็แต่โดยการยึดมั่นใน ปัจจัยภายนอก คือ อาศัยคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เป็นเสมือนดวงตารับฟังความเห็นจากบุคคลผู้ใกล้ชิดที่ตั้งอยู่ในศีลในสัจจะ พร้อมกับคำนึงถึงสภาพแวดล้อมสังคมหรือประเพณีบ้านเมือง ขณะเดียวกันก็ต้องถึงพร้อมสมบูรณ์ใน ปัจจัยภายใน คือ ต้องกอปรด้วยสติสัมปชัญญะ วิจารณ์ปัญหาพร้อม ๆ ด้วยกัน
ส่วนที่ 2 ของพระธรรมศาสตร์ เรื่องลักษณะตุลาการจะกล่าวถึงลักษณะอคติ 4 ประการของตุลาการอันละเมิดความยุติธรรม คือ รัก โกรธ กลัว หลงความเจริญรุ่งเรืองของตุลาการที่ไม่ติดอดีต 4 ประการ นอกจากนั้นก็เป็นคำสอนให้ตุลาการพิจารณาคดีโดยไม่มีริษยา ไร้สัจจะ มีเมตตาแก่คู่ความทั้งสองฝ่ายเสมอและที่สำคัญคงเป็นบทสาปแช่งตุลาการที่กินสินจ้าง ไม่ยึดมั่นในพระธรรมศาสตร์
ส่วนที่ 3 พระธรรมศาสตร์ เหตุแห่งตุลาการ 24 ประการ อันเกี่ยวข้องกับวิธีการพิจารณาความและเหตุที่มาแห่งความยุติธรรมในการตัดสินคดีตุลาการ 24 ประการ สาระสำคัญเป็นการกล่าวถึงลักษณะแห่งคดี การใช้ถ้อยคำในการพิจารณาพิพากษา, ความรอบคอบ, รวดเร็วและรับผิดชอบในการตัดสินคดีความชัดเจนในถ้อยคำสำนวน, การเป็นอิสระของตุลาการ, การพิจารณาความโดยยุติธรรมตามพระธรรมศาสตร์ไม่เห็นแก่อามิสต่าง ๆ เนื้อหาของส่วนที่ 3 นับว่าเกี่ยวข้องเชื่อมโยงได้กับส่วนที่ 2 ที่มีจุดยืนย้ำเรื่องคุณธรรมของตุลาการและความสำคัญของคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ ในแง่เป็นหลักยึดกำกับการใช้อำนาจของตุลาการทั้งปวง บทบาทของคัมภีร์ดังกล่าว อาจเป็นแม่บทกฎหมายที่ชี้นำ การใช้อำนาจทั้งทางฝ่ายบริหารของพระมหากษัตริย์และอำนาจฝ่ายตุลาการทั่วไปอีกด้วย
ส่วนที่ 4 ของพระธรรมศาสตร์ คือ เรื่องการแบ่งอรรถคดี นับเป็นส่วนที่มีความสำคัญอยู่มิน้อย ในแง่หนึ่งเท่ากับชี้ให้เห็นชัดเจนถึงลักษณะสำคัญแห่งพระธรรมศาสตร์ ซึ่งไม่เพียงเป็นแต่บรรทัดฐานแม่บทแห่งกฎหมาย หากยังเป็นการแสดงออกของกฎหมายในตัวเอง อรรถคดีแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ
1. มูลคดีแห่งผู้พิพากษาตุลาการ 10 ประการ
2. มูลคดีแห่งบุคคลอันเกิดวิวาท 29 ประการ
เมื่อพิจารณาอีกสถานะหนึ่งสถานะคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ตามแนวความคิดดังกล่าวย่อมเปรียบได้กับ “กฎหมายธรรมชาติ” ในปรัชญาของกฎหมายตะวันตกหากเรื่องภาวะเกี่ยวกับความเป็นธรรมชาติหรือดำรงอยู่เองโดยธรรมชาติของกฎหมายธรรมชาติ คือ คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ของเราอาจฟังดูเหลือเชื่อเป็นนิยายอยู่มากเมื่อเทียบกับกฎหมายธรรมชาติของตะวันตก ซึ่งอธิบายการค้นพบหรือเข้าถึงกฎหมายธรรมชาติโดยอาศัย “เหตุผล” ที่บริสุทธิ์หรือญาณปัญญาในมนุษย์
อย่างไรก็ตาม มีข้อน่าคิดอย่างยิ่งว่า การย้ำคุณค่าของคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ โดยเฉพาะในแง่ของการเป็นหลักบรรทัดฐานของการตัดสินคดีของพระมหากษัตริย์และตุลาการ เราสามารถเข้าใจได้โดยไม่ยาก จากความในพระธรรมศาสตร์ แต่สำหรับหลักบรรทัดฐานทางกฎหมายของพระธรรมศาสตร์กลับดูไม่มีปรากฏชัดเจน หากเป็นเรื่องที่ “เราต้องสรุปอนุมานขึ้นมา” หรือเราอาจจะศึกษาสังเคราะห์ขึ้นมาถึงสิ่งที่สุดแต่จะเรียกขานเป็นบรรทัดฐานสูงสุดทางกฎหมาย หลักกฎหมายทั่วไปหลักกฎหมายธรรมชาติในพระธรรมศาสตร์ ที่เรียกว่า “หลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทย”